วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

10 อันดับ Blogger สอนเขียนโปรแกรมและ 10 อันดับ Blogger ที่คิดว่าน่าสนใจ "

10 อันดับ Blogger สอนเขียนโปรแกรม


1.คอร์ดรวมพื้นฐานการแฮค และ เทคนิคที่ใช้แฮค
:http://kiss-hack.blogspot.com/2014/12/pentesting-hacking-webapplication.html

2.กฏระเบียบในเว็บและเพจ (วงการด้วย)
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/09/blog-post.html

3.PHP เบื้องต้น (คุยกันก่อน)
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/php.html

4.อยากเป็น Hacker
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/hacker.html

5.มาพูดถึงเรื่องการ ยิงIP ด้วย Flood ต่างๆกัน
:http://kiss-hack.blogspot.com/2013/08/ip-flood.html

6.สอนเขียน Java ขั้นพื้นฐานพร้อมกับ E-BOOK
:http://xn--72c0ahm0b6dtbw6k.blogspot.com/2012/04/java-e-book.html

7.c/c++ robot simulator เรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์
:http://krumonrobot.blogspot.com/

8.สร้างแบบฟอร์มลงทะเบียน แบบฟรี Form Free Google Drive
:http://kobover.blogspot.com/2014/03/form-free-google-drive.html

9.เขียนโปรแกรมโดยใช้วิชวลเบสิก 2008 (visual basic 2008)
:http://code-visual-basic.blogspot.com/

10.JAVA เบื้องต้น
:http://www.javathailand.com/ajax/app/index.php?r=frontend/viewByGroupVdoId&group_vdo_id=1

10 อันดับ Blogger ที่คิดว่าน่าสนใจ


อันดับ 1 Pearypie: Make-up Artist/Theatrical Artist : 473,953 likes เป็นใครไปไม่ได้เลยเพราะสาวแพรรี่พาย นอกจากจะมีฮาวทูการแต่งหน้าออกมาให้สาวๆได้อัพเดทกันอยู่เสมอ ยังมีทั้งแฟชั่นการแต่งกาย ที่บอกเลยว่ามาแรงแซงทางโค้งจริงๆ


อันดับ 2 แย้ นนทพร ธีระวัฒนสุข 387,207 like 
ด้วยความที่เป็นพริตตี้สาวมากความสามารถ จึงทำให้ยอดไลค์ของหญิงแย้ มาเป็นอันดับที่ 2 ทั้งแบ่งปันวิธีการดูแลตัวเอง ตั้งหัวจรดเท้า แถมยังเป็นผู้หญิงที่เป็นตัวของตัวเองสุดๆ ทำให้ใครหลายๆคนยกให้หญิงแย้ เป็นไอดอล



อันดับ 3 Sp Saypan 336,041 likes เป็นอีกหนึ่งสาวบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่มาแรงอยู่ในตอนนี้ สายป่าน หรือใครๆหลายคนอาจจะรู้จักในนามของ ป่านศรี ด้วยความน่ารักและความจริงใจในการรีวิวผลิตภัณฑ์และเทคนิคในการดูแลตัวเองต่างๆ ทำให้สาวๆหลายคนเทใจให้สาว บิ้วตี้ บล็อกเกอร์คนนี้



อันดับ 4Momay Pa Plearn : 275,791 likes โมเม พาเพลิน สาวไทยต่างขนานนามให้เธอว่า " คุณแม่ " ด้านการแต่งหน้าตัวจริง โมเม พาเพลิน ถือว่าเป็นผู้ที่ทำให้สาวๆหลายคนที่คิดจะเริ่มฝึกแต่งหน้า คิดถึงเธอเป็นคนแรก 


อันดับ 5 FEONALITA : 182,713 likes 
ทราย ฟีโอนาลิต้า บิ้วตี้ บล็อกเกอร์ที่ใครหลายคนคงจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี สาวร่างเล็กคนดังประจำโต๊ะเครื่องแป้งพันทิป เธอมีทั้งเคล็ดลับการดูแลเสื้อผ้าหน้าผม รวมถึงการรีวิวผลิตภัณฑ์ความงามอีกมากมาย


อันดับ 6 Kunginter : 113,099 likes กุ้ง อินเตอร์ เป็นบิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกคนหนึ่งที่มีวิธีการดูแลตัวเองแบ่งปันให้ชาวแฟนเพจเสมอ ทั้งการดูแลผิวหน้า ผิวกาย รีวิวผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย จึงทำให้แฟนเพจส่วนใหญ่มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย


อันดับ 7 I'm Mayyr - Blog : 78,395 like 
เป็นสาวน้อยน่ารักอีกคนหนึ่ง ที่กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆส่วนใหญ่เพราะการแต่งหน้า ทั้งการรีวิวเครื่องสำอางและของใช้คุณภาพดี บวกกับหน้าตาที่น่ารักจิ้มลิ้มทำให้แฟนเพจของคุณเมย์เป็นผู้ชายไม่น้อยเลยทีเดียว


อันดับ 8 Cinnamongal.com 77,810 likes 
คุณมด บิ้วตี้ บล็อกเกอร์อีกหนึ่งคนที่สาวๆคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เธอเปิดร้านขนมและยังเป็นที่รู้จักในวงการบิ้วตี้ บล็อกเกอร์ ที่มากความสามารถจริงๆ


อันดับ 9 OnnBaby : 21,729 likes บล็อกเกอร์สาวสุดชิค กลายเป็นที่รู้จักของสาวๆจากการแบ่งปันเคล็ดลับและเทคนิคดีๆในการดูแลตัวเอง และยังเปิดตัวแบรนด์เครื่องสำอางที่แพคเกจแสนจะน่ารักกุ๊กกิ๊ก


อันดับ 10 Jelly Fish Makeup Mania : 19,022 likes ปิดท้ายด้วยสาวสวยคนนี้ คุณจูน ที่มีทั้งฮาวทูการแต่งหน้าและยังแบ่งปันเทคนิคในการทำทรงผมต่างๆมากมาย สาวๆหลายคนจึงไม่รีรอที่จะกดติดตามเธอเพื่ออัพเดททริคในการดูแลตัวเองอย่างรอบด้าน

ไทย กับ E-Sport ระดับโลก

SF เมืองไทย

E-Sport….ในไทย
          ถ้าจะให้พูดถึงต้นกำเนิดของวงการ E-Sport ในบ้านเรา ก็คงต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2543 ในปีนั้นมีการจัดแข่งขัน E-Sport รายการแรกของเมืองไทยเกิดขึ้น มาจนถึงวันนี้ก็นับเวลาได้ 12 ปีเต็มๆ ที่ประเทศไทยรู้จักมักคุ้นกับคำว่า E-Sport คำถามคือ ณ วันนี้เราพูดได้เต็มที่แล้วหรือยังว่า E-Sport บ้านเราบูมแล้ว?
อดีตที่ขมขืนของนักกีฬา E-Sport เมืองไทย

          ถึงแม้ว่า E-Sport บ้านเราจะเริ่มเป็นที่รู้จักกันเมื่อ 12 ปีก่อน มีการส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันรายการระดับโลก ในปี 2544 แต่เมื่อเทียบกับต่างประเทศ นักกีฬาบ้านเราก็จัดอยู่ในระดับมือสมัครเล่นเท่านั้น ที่ผ่านมาถึงแม้ว่านักกีฬาจะพยายามผลักดันยังไงก็ยังห่างไกลจากคำว่า “นักกีฬามืออาชีพ” เหมือนอย่างที่ประเทศเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จ
          สาเหตุก็เพราะ นักกีฬาบ้านเราขาดการสนับสนุนอย่างจริงจังจากเหล่าสปอนเซอร์ ซึ่งก็ไม่พ้นบริษัท IT ทั้งหลายที่ถูกมองว่าเป็นแหล่งสปอนเซอร์หลัก แต่ที่ผ่านมาสิ่งที่นักกีฬาได้รับการสนับสนุนก็มีเพียงแค่อุปกรณ์ไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเหมือนการช่วยเหลือกัน มากกว่าที่จะเรียกได้อย่างเต็มปากว่า “สปอนเซอร์”
          ที่สำคัญรายการแข่งที่จะแสดงฝีมือก็มีน้อยเกินกว่าที่จะต่อรองขอการสนับสนุนที่มากกว่านี้ ดังนั้นนักกีฬ่า E-Sport บ้านเราจึงต้องใช้ “ใจ” เป็นอย่างมาก ในการที่จะเป็น “นักกีฬา E-Sport”
          จึงไม่แปลกเลยที่ท้ายที่สุด แต่ละคน แต่ละทีม จะต้องควักเงินส่วนตัวเพื่อผลักดันตัวเองให้อยู่ในวงการ จนเมื่อมองจากมุมกว้าง นักกีฬา E-Sport บ้านเราจึงมีอยู่แค่หยิบมือเดียวและถูกจำกัดให้อยู่ในระดับแค่มือสมัครเล่น
ตัวแปรที่เข้ามาเปลี่ยนวงการ
          จนเมื่อปี 2551 ได้เกิด Event การแข่งขันหนึ่ง ที่เข้ามาเปลี่ยนมุมมองของเหล่าบริษัท IT ให้ตื่นตัวกับวงการ E-Spot มากขึ้น นั่นก็คือรายการ ESTC 2008 ตัวแปรสำคัญที่ทำให้รายการนี้ได้รับความสนใจ คือการเชิญนักกีฬา E-Sport จากต่างประเทศเข้ามาแข่งขันในประเทศไทย 
          แน่นอนว่าเมื่อประเทศไทยได้มีโอกาศต้อนรับนักกีฬาที่มีฝีมือระดับโลก ทำให้เกิดกระแสการตื่นตัวทั้งนักกีฬ่าและบริษัท IT จนนำมาสู่การเริ่มมีทีมที่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ จากเหล่าสปอนเซอร์ที่เล็งเห็นฝีมือและความสำคัญของนักกีฬา E-Sport ของประเทศไทย
          การจัด ESTC 2009 ยิ่งเป็นการตอกย้ำอีกครั้ง ว่าแท้จริงแล้วศักยภาพของนักกีฬาไทย มีความพร้อมที่จะยกระดับเข้าสู่นักกีฬามืออาชีพ และเมื่อมีรายการใหญ่ได้ให้พิสูจน์ฝีมือ เหล่าบริษัท IT จึงพุ่งเป้าสนใจวงการ E-Sport มากขึ้นเป็นเท่าทวี สิ่งทีเกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนสัญญาณที่เราทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า ยุคทองของ E-Sport เมืองไทยกำลังจะมาถึงแล้ว 
 สิ่งที่กำลังเป็นอยู่ของวงการ E-Sport เมืองไทย
          คงปฏิเสธไมได้ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา วงการ E-Sport บ้านเรากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นภาพที่เราอยากให้เกิดขึ้นมานานแล้ว เนื่องจากบริษัท IT หลายราย เริ่มที่จะจริงจังกับการผลักดันวงการนี้มากขึ้น เมื่อนักกีฬาได้รับการสนับสนุนมากขึ้น แน่นอนว่านักกีฬาเองก็ต้องแสดงความเป็นมืออาชีพมากขึ้น รวมไปถึงผลงานทั้งในเวทีระดับประเทศหรือระดับนานาชาติ
          ในเรื่องของฝีมือ นักกีฬ่าไทยพิสูจน์ให้เห็นกันแล้วว่า หากจะวัดกันจริงๆ นักกีฬาไทยก็สามารถคว้าแชมป์โลกได้ไม่ใช่เรื่องฝัน ซึ่งที่ผ่านมาเราก็ทำให้เห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเกม Ragnarok, GetAmped, Point Blank ส่วนเกมอื่น ในระดับซีเกมส์เราก็ไม่เป็นรองใคร เช่น DotA, SF, StarCraft II แต่ถ้าในระดับเอเชียนเกมส์ก็คงต้องสู้กันต่อไป 
          ยิ่งตอนนี้ทางบริษัท IT ได้รวมตัวกันจัดรายการแข่งขันขึ้นมา เพื่อผลักดันวงการนี้มากขึ้น ยิ่งทำให้นักกีฬาไทยมีเวทีในเพื่อฝึกฝีมือ ยิ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ในอนาคตประเทศไทยอาจมีกองทัพนักกีฬ่า E-Sport มากพอที่จะขอเขย่าบัลลังก์วงการ E-Sport ในระดับโลกก็เป็นได้
          แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง ตอนนี้คงขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักกีฬา E-Sport เองแล้วละครับ ว่าจะแสดงออกมาให้ทุกคนได้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพ ระเบียบวินัยในการฝึกซ้อม น้ำใจนักกีฬา ได้มากน้อยขนาดไหน วงการนี้จะโตขึ้นหรือวูบดับไป นักกีฬาคือคนกำหนดทิศทางทั้งสิ้น
          ทุกสิ่งทุกอย่างมาได้ถูกทาง อย่างที่เราอยากเห็นแล้ว อนาคตเราไม่สามารถบอกได้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ปัจจุบันเราทำมันยังไงต่างหาก คงไม่มีใครอยากเห็นเหล่าสปอนเซอร์ถอดใจ เพราะนั้นมันจะหมายถึงหายนะของวงการ E-Sport บ้านเราอีกครั้ง 
          ไม่ว่าเราจะมองว่า “E-Sport ผลักดันวงการ IT” หรือ “วงการ IT ผลักดัน E-Sport” เราคงไม่สามารถแยกได้ว่าอย่างไหนมันสำคัญกว่ากัน เพราะท้ายที่สุดทั้ง 2 อย่างจะต้องควบคู่ไปด้วยกัน
          หากจะมองว่าวงการ E-Sport บูมหรือไม่ ผมบอกได้เลยว่า เรากำลังบูมสุดๆ แต่ถึงจุดสูงสุดหรือยัง ตอบได้เลยว่ายังอีกไกล ยังมีงานอีกหลายอย่างที่เราต้องทำเพื่อไปให้ถึงจุดๆ นั้นครับ 
          “ไต้หวันเพิ่งเริ่ม Professional League เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มาตอนนี้เขาจะมีทีมเอง เขามีเงินเดือน เขาให้ที่พัก คือเขาจะซ้อมทุกวันเพื่อที่แข่งขันทุกเสาร์-อาทิตย์”
           “ต่อไปเราต้องการให้ทุกคนมองว่า เล่นเกมก็เป็นอาชีพได้ การเล่นเกมสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ต่อไปเราอยากให้นักกีฬา E-Sport ไทยมีเงินเดือน มีเงินสนับสนุน เพื่อที่จะให้เขามีโอกาสฝึกซ้อมและไปแข่งกับทีมต่างประเทศ”
          “เมื่อก่อนมีแต่การแข่งลีก ไม่มีสปอนเซอร์ พอทีมไม่มีสปอนเซอร์แล้วพอแพ้บ่อยๆ เขาก็หมดกำลังใจไม่อยากแข่งต่อ จะทำให้ลีกพังตลอดเวลา เพราะฉะนั้นในครั้งนี้ที่ทาง Gigabyte ออกไอเดียมา นั่นก็คือให้เพื่อนๆ ในกลุ่ม IT มาช่วยกัน อยู่ข้างหลังคอยซัพพอร์ตอยู่ โดยที่ทุกคนห้ามถอยภายในปีนี้”
          “แต่ว่า GIGABYTE ก็มีการคุยกับบริษัท ไทยอีสปอร์ต จำกัด ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาจจะมีการจัดลีกล่าง คือส่งเสริมทีมใหม่ๆ เพื่อเป็นช่องทางให้บริษัทใหม่ๆ ที่กำลังอาจจะสนใจสนับสนุนทีม E-Sports เข้ามาดูและเลือกทีมจากลีกนี้ไปพัฒนาศักยภาพต่อเป็นทีมที่แข็งแกร่งได้”
          “ที่วางแผนไว้จะในปีนี้แน่ๆ ก็จะแข่ง DotA กันทั้งปี 12 เดือนเลย แต่ในช่วงต่อๆ ไปก็จะมีการเพิ่มการแข่งขันให้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่าง Season 1 เรามีแต่การแข่งออนไลน์ ใน Season 2 ทาง GIGABYTE จะมีการแข่งออฟไลน์ที่จะรวมทีมอันดับ 1-4 มาแข่งอีกครั้ง เหตุผลที่ต้องมีการแข่งบ่อยๆ เพื่อที่ทางบริษัท ไทยอีสปอร์ต จำกัด จะได้สามารถหาผู้สนับสนุนรายอื่นๆ เข้ามาเพิ่มเติมเรื่อยๆ จนทำให้การแข่งขันใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ ได้ สุดท้ายคนเล่นเกมจะกลายเป็นมืออาชีพได้”

มาในที่นี้ผมต้องยกย่องเกมที่กำลังมาแรงในตอนนี้เลยคือเกม Dota2 ที่แข่งขันกันชนะได้ไปเลย 160 ล้านบาท

จบลงแล้วกับรายการแข่งขัน The International DOTA 2 Championships ประจำปี 2014 ซึ่งเป็นรายการแข่งขันกีฬา eSports ที่มีเงินรางวัลสูงสุดที่โลก และในปีนี้ยังเป็นปีที่มียอดเงินรางวัลสนับสนุนเข้ามามากที่สุดด้วยถึงกว่า 7 ล้าน US Dollar ซึ่งการแข่งขันได้ดำเนินกันยาวนานกว่าหนึ่งสัปดาห์ และในที่สุดก็ได้คู่ชิงชนะเลิศที่เป็นการพบกันเองระหว่างสองทีมจากประเทศจีนคือ ทีม Newbee และทีม ViCi Gaming (VG) ซึ่งสามารถชมคลิปการแข่งขันได้ด้านล่าง
กติกาการแข่งขัน การแข่งขันรอบชิงจะแข่งกันทั้งหมด 5 เกม โดยผู้ชนะ 3 ครั้งก่อนจะเป็นทีมชนะเลิศ ซึ่งการแข่งขันเกมแรก ViCi สามารถเอาชนะไปได้ก่อน แต่ Newbee สามารถเอาชนะได้ในอีก 3 เกมถัดมา จึงเป็นทีมชนะเลิศ คว้าเงินรางวัลจากรายการไปถึง 5,000,000 US Dollar คิดเป็นเงินไทยก็คือประมาณ 160 ล้านบาท ส่วนทีม ViCi แม้จะได้รองชนะเลิศ แต่ก็ได้เงินรางวัลไปไม่น้อยถึง 1,475,699 US Dollar เป็นเงินไทยประมาณเกือบ 50 ล้านบาท นับเป็นปีทองของทีมแข่ง Dota 2 จากจีนจริงๆ เพราะสามารถเอาชนะทีมเก่งๆจากทางยุโรปจนขึ้นชิงกันเองได้

The International DOTA 2 Championships

โฉมหน้าผู้เข้าแข่งขันทั้งสองทีม
The International DOTA 2 Championships
The International DOTA 2 Championships

วันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

Edward Snowden

สัมภาษณ์ เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ผู้เปิดโปงโครงการ PRISM ของสหรัฐฯ

เดอะ การ์เดียน สัมภาษณ์เปิดใจอดีตผู้ช่วย CIA และคนทำงานร่วมกับสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) ถึงแรงจูงใจที่เขาเลือกเปิดโปงข้อมูลลับสะเทือนวงการของโครงการสอดแนม และอนาคตที่ยังน่าเป็นห่วงของตัวเขาเองที่ไม่ยอมซ่อนตัวในเงามื
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ได้สัมภาษณ์ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ชายอายุ 29 ปี ผู้นำข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) เรื่องโครงการลักลอบสอดแนมข้อมูลมาเผยแพร่ เขามีแรงจูงใจอะไร อนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงไม่เลือกที่จะซ่อนตัว
 
เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน เป็นอดีตเจ้าหน้าที่บริหารด้านเทคนิคขององค์กรหน่วยข่าวกรองกลางสหรัฐฯ และปัจจุบันทำงานเป็นพนักงานของบริษัทการทหาร Booz Allen Hamilton โดนก่อนหน้านี้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สโนวเดนได้ทำงานอยู่ในองค์กรเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติหลายแห่งในฐานะพนักงานของบริษัทรับจ้างทางการทหารรวมถึงบริษัท Dell ด้วย
 
โดยหลังจากที่สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ได้สัมภาษณ์ข้อมูลของสโนวเดนมาหลายวัน ในที่สุดสโนวเดนก็ขอร้องให้เปิดเผยตัวเขาในสื่อ โดยสโนวเดนบอกว่าตั้งแต่ช่วงที่เขาตัดสินใจเปิดเผยข้อมูลเอกสารลับสู่สาธารณะ เขาก็ไม่คิดที่จะปกปิดชื่อของตัวเอง "ผมไม่มีเจตนาที่จะหลบซ่อนตัวเอง เพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด" สโนวเดนกล่าว
 
นอกจากแดเนียล เอลส์เบิร์ก และ แบรดลี่ย์ แมนนิ่ง แล้ว สโนว์เดน กลายเป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ข้อมูลลับจากภายในคนสำคัญอีกคนหนึ่งของของสหรัฐฯ จากการที่เขาเผยแพร่ข้อมูลจากองค์กรที่เก็บงำความลับมากที่สุดในโลกอย่าง NSA  (แดเนียล เอลส์เบิร์ก คือผู้เคยถูกกล่าวหาเรื่องปล่อยข้อมุลในสงครามเวียดนามปี 1971 และแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง เป็นนายทหารของสหรัฐฯ ที่ส่งข้อมูลทางการให้วิกิลีกส์
 
ในข้อความที่สโนวเดนแนบมาด้วยพร้อมกับข้อมูลชุดแรกเขาเขียนว่า "ผมเข้าใจว่าผมจะต้องถูกทำร้ายจากการกระทำของผมเอง" แต่เขาก็จะรู้สึกพึงพอใจหากได้เปิดโปงกลุ่มชนชั้นนำผู้มีอำนาจและไม่ถูกลงโทษที่ปกครองโลกนี้อยู่
 
แม้ว่าสโนวเดนจะมีความมุ่งมั่นในการเปิดเผยตัวเอง แต่เขาก็ปฏิเสธอยู่เสมอว่าไม่อยากตกเป็นเป้าความสนใจของสื่อ "ผมไม่ได้ต้องการเรียกร้องความสนใจ เพราะผมไม่ได้ต้องการให้มีคนนำเสนอเรื่องของตัวผม ผมต้องการให้พวกเขานำเสนอว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังทำอะไรอยู่"
 
สโนวเดนบอกว่าเขาไม่กลัวผลที่ตามมาหลังจากเขาเปิดเผยตัวต่อสาธารณะ เขาหวังว่ามันจะเป็นการดึงความสนใจมาที่สิ่งที่เขาต้องการเปิดเผย "ผมรู้ว่าสื่อชอบทำให้เรื่องการถกเถียงทางการเมืองกลายเป็นเรื่องเชิงตัวบุคคล และผมรู้ว่ารัฐบาลจะต้องทำให้ผมกลายเป็นตัวร้ายแน่ๆ"
 
"ผมต้องการให้มีการเน้นกล่าวถึงเรื่องเอกสารและการอภิปรายซึ่งผมเชื่อว่าจะทำให้พลเมืองทั่วโลกหันมาสนใจว่า โลกที่เราอยู่มันเป็นอย่างไรกันแน่" สโนวเดนกล่าว "แรงจูงใจของผมมีอยู่อย่างเดียวคือการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน ว่ามีเรื่องอะไรที่กระทำโดยอ้างพวกเขาบ้าง มีเรื่องอะไรที่กระทำแล้วสิ่งไม่ดีต่อพวกเขาบ้าง"
 
สโนวเดนเปิดเผยเรื่องส่วนตัวว่า ตัวเขาเองมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีเงินเดือนอยู่ที่ราว 200,000 ดอลลาร์ (ราว 6 ล้านบาท) มีแฟนหญิงที่อาศัยร่วมกันที่บ้านในฮาวาย มีงานการที่มั่นคง มีครอบครัวที่เขารัก "แต่ผมก็พร้อมจะสละทั้งหมดนี้เพราะว่าจิตสำนึกด้านดีในตัวผมไม่ยอมให้รัฐบาลอเมริกันทำลายสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต และเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนทั่วโลก จากเครื่องมือสอดแนมที่พวกเขาแอบสร้างขึ้น"
 
 
"ผมไม่กลัว เพราะนี่คือทางที่ผมเลือก"
 
เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว สโนวเดนได้เตรียมการครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเปิดโปงเรื่องราวจนเป็นข่าวดัง ที่สำนักงาน NSA ในฮาวายที่เขาทำงานอยู่ เขาได้ทำสำเนาเอกสารชุดสุดท้ายที่เขาต้องการจะเผยแพร่
 
จากนั้นเขาก็บอกกับหัวหน้างาน NSA ว่าเขาอยากลาพักสักสองสัปดาห์เพื่อเข้ารักษาโรคลมชัก ซึ่งเขามีอาการของโรคนี้จริงตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว
 
เขาเก็บกระเป๋า บอกแฟนสาวว่าเขาจะไปที่อื่นสองสัปดาห์ แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในเหตุผล "เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับใครก็ตามที่ทำงานอยู่ในหน่วยข่าวกรองมานานเป้นสิบปี"
 
ในวันที่ 20 พ.ค. สโนวเดนขั้นเครื่องบินไปฮ่องกงและอาศัยอยู่ที่นั่น เขาบอกว่าที่เขาเลือกฮ่องกงเพราะชาวฮ่องกงมีจิตสำนึกในเรื่องเสรีภาพการแสดงความเห็นและเรื่องสิทธิของนักต่อต้านทางการเมือง และเพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นไม่กี่แห่งในโลกที่จะสามารถต้านทานการควบคุมของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้
 
ตลอดสามสัปดาห์ สโนวเดนขลุกตัวอยู่แต่ในห้องพักของโรงแรม สั่งอาหารมาทานในห้อง เขาบอกว่าเขาออกจากห้องเพียงแค่สามครั้ง เขารู้สึกกังวลว่าจะถูกแอบตามตัว เขานำหมอนหลายใบมาวางไว้หน้าห้องเพื่อป้องกันไม่ให้มีใครมาแอบดักฟัง เขาเอาเสื้อคลุมสีแดงคลุมเหนือหัวและคอมพิวเตอร์เวลาใส่รหัสเผื่อว่าจะมีกล้องที่ซ่อนอยู่คอยจับตาดู
 
เดอะ การ์เดียนบอกว่า แม้เรื่องดังกล่าวจะฟังดูเหมือนคนเป็นโรคหวาดระแวง แต่สโนวเดนก็มีเหตุผลที่จะกลัวเรื่องพวกนี้ จากการที่เขาทำงานในหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ มาเกือบสิบปี ทำให้เขารู้ว่าองค์กรสอดแนมที่ใหญ่ที่สุดคือสหรัฐฯ NSA และรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกกำลังตามตัวเขา
 
หลังจากที่ข้อมูลถูกเผยแพร่ออกมาแล้ว เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ก็คอยดูโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ได้รับรู้เรื่องคำขู่และคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะหาตัวคนที่เปิดโปงเรื่องนี้มาลงโทษ และสโนวเดนก็รู้ดีว่าสหรัฐฯ มีเทคโนโลยีซับซ้อนที่ทำให้การตามตัวเขาเป็นเรื่องง่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก NSA และเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ ไปหาเขาที่บ้านพักสองครั้ง และติดต่อกับแฟนสาวของเขาได้แล้ว แต่เขาเชื่อว่าน่าจะมาจากการที่เขาขาดงานมากกว่าการที่เขาต้องสงสัยเรื่องเอกสารที่รั่วไหล
 
"ทางเลือกไหนก็แย่หมด" สโนวเดนกล่าวถึงสภาพของเขาในตอนนี้ ทางการสหรัฐฯ อาจเริ่มกระบวนการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งอาจมีความยุ่งยาก ความยื้ดเยื้อ และอะไรที่คาดเดาไม่ได้จากรัฐบาลสหรัฐฯ หรือทางรัฐบาลจีนก็อาจจะนำตัวเขาไปสอบสวน มองว่าเขาเป็นผู้มีข้อมูลสำคัญ หรือเขาอาจจะแค่ถูกลักพาตัวโยนขึ้นเครื่องบินกลับไปยังสหรัฐฯ
 
"ใช่ ผมอาจจะถูกจับโดยซีไอเอ อาจจะมีคนตามล่าตัวผม หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่สาม พวกเขาทำงานใกล้ชิดกับประเทศอื่นๆ จำนวนหนึ่ง หรืออาจจะจ้างมาเฟียจีน ไม่ก็หน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" สโนวเดนกล่าว
 
"มีสำนักงาน CIA อยู่ไม่ไกลจากนี้ เป็นสถานกงสุลในฮ่องกง และผมแน่ใจว่าวพกเขาจะยุ่งมากๆ ในสัปดาห์ถัดไป และนั่นเป็นเรื่องชวนกังวลสำหรับผมไปตลอดชีวิต มันจะยาวนานขนาดไหน"
 
จากที่เห็นรัฐบาลของโอบาม่าสั่งดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่แฉความลับภายในระดับที่มากว่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ เขาคิดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ คงพยายามอย่างสุดแรงในการลงโทษเขา แต่เขาก็พูดนิ่งๆ ว่าเขาไม่กลัว เพราะนี่เป็นทางที่เขาเลือก เขาเดาไว้แล้วว่ารัฐบาลจะดำเนินการสืบสวน ตัวเขาอาจจะถูกดำเนินคดีจากกฏหมายจารกรรมและในข้อหาช่วยเหลือศัตรู ซึ่งถูกนำมาใช้กับใครก็ตามที่เปิดโปงครามจริง
 
เดอะ การ์เดียน กล่าวว่ามีอยู่ช่วงเดียวที่เขาแสดงอารมณ์ในการสัมภาษณ์หลายชั่วโมง คือช่วงที่เขาคิดคำนึงถึงผลกระทบต่อครอบครัวจากสิ่งที่เขาเลือก ซึ่งคนในครอบครัวเขาหลายคนทำงานให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ "สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือผลร้ายที่จะเกิดแก่ครอบครัวผม ซึ่งผมช่วยเหลืออะไรไม่ได้อีกแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนอนไม่หลับตอนกลางคืน" สโนวเดนพูดเรื่องนี้ทั้งน้ำตา
 
 
"คุณไม่สามารถรอให้คนอื่นเป็นคนทำ"
 
ก่อนหน้านี้สโนวเดนไม่คิดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะทำอะไรขัดกับแนวคิดทางการเมืองของเขา สโนวเดนเติบโตมาในอลิซาเบธซิตี้ นอร์ทแคโรไลนา ต่อมาครอบครัวเขาก็ย้ายไปที่แมรี่แลนด์ ใกล้กับสถานบัญชาการของ NSA ในฟอร์ดมี้ดสโนวเดนไม่ใช่คนเรียนเก่ง เขาเรียนไม่จบระดับไฮสคูล (แต่ต่อมาสอบเทียบได้)
 
จนถึงในปี 2003 เขาก็เข้าเป็นทหารในกองทัพสหรัฐฯ และเริ่มฝึกเพื่อเข้าร่วมกับหน่วยรบพิเศษ ในตอนนั้นเขามีหลักการในตัวเองแบบเดียวกันกับตอนที่เขาเปิดโปงข้อมูลของรัฐบาล เขาบอกว่า "ผมต้องการร่วมรบในสงครามอิรักเพราะผมรู้สึกว่า ผมมีพันธกิจในฐานะมนุษย์คนหนึ่งที่จะต้องปลดปล่อยผู้คนออกจากการกดขี่"
 
แต่หลายครั้งที่แนวคิดอุดมคติของเขาถูกลบเลือนไปในช่วงฝึก เขาบอกว่าผู้ฝึกของเขาส่วนมากมักจะพูดย้ำเรื่องการสังหารคนอาหรับ ไม่ได้พูดถึงการช่วยเหลือผู้คน และหลังจากสโนวเดนขาหักขากการฝึกซ้อม เขาก็ถูกไล่ออก
 
หลังจากนั้นสโนวเดนก็เข้าไปทำงานในสำนักงาน NSA เป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กับสำนักงานลับแห่ง
หนึ่งในมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ จากนั้นเขาก็ไปทำงานให้ CIA เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยด้านไอที ความเข้าใจเรื่องอินเตอร์เน็ตและความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาได้เลื่อนขั้นเร้วมากสำหรับคนที่ไม่มีอนุปริญญามัธยมศึกษา
 
ในปี 2007 CIA ให้เขาไปประจำการกับนักการทูตสายลับในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หน้าที่ของเขาคือควบคุมดูแลระบบเครือข่ายความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาสามารถเข้าถึงเอกสารลับได้หลายฉบับ ความสามารถเข้าถึงในตอนนั้นรวมถึงการใช้เวลาอยู่กับเจ้าหน้าที่ CIA ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับความถูกต้องจากสิ่งที่เขาได้รับรู้
 
สโนวเดนเล่าถึงวิธีการทำงานของ CIA ในตอนที่พวกเขาพยายามล้วงตีซี้คนทำงานธนาคารสวิสเพื่อล้วงข้อมูลด้านการธนาคาร เขาบอกว่า CIA ใช้วิธีการจงใจทำให้คนทำงานธนาคารเมา และยุให้เขาขับรถกลับบ้านเอง แต่เมื่อคนทำงานธนาคารถูกจับข้อหาขับรถขณะมึนเมา สายลับที่ผูกมิตรด้วยก็เสนอว่าจะช่วยเหลือเขาทำให้ตีซี้กับนายธนาคารสำเร็จ
 
"สิ่งที่ผมเห็นในเจนีวาหลายเรื่องทำให้ผมตาสว่าง ทำให้ผมมองเห็นว่ารัฐบาลเราทำงานกันยังไง และส่งผลกระทบอะไรกับโลกบ้าง" สโนวเดนกล่าว "ผมรู้ตัวว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เป็นอันตรายมากกว่าจะเป็นประโยชน์"
 
สโนวเดนบอกว่าในช่วงที่ทำงานกับ CIA ในกรุงเจนีวานั้นเองเป็นครั้งแรกที่เขาคิดจะเปิดโปงความลับของรัฐบาล แต่เขายังเลือกจะไม่ทำในตอนนั้นด้วยเหตุผลสองประการ
 
เหตุผลประการแรกคือ ความลับของ CIA เป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาชน ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเครื่องมือหรือระบบ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจนักถ้าหากจะเปิดเผยออกมา ซึ่งเขาคิดว่ามันจะทำให้คนอื่นเป็นอันตราย เหตุผลที่สองคือ การเลือกตั้งที่โอบาม่าได้รับชัยชนะในปี 2008 ทำให้เขามีความหวังว่าจะมีการปฏิรูปจริงจัง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดโปง
 
ในปี 2009 สโนวเดนก็ออกจาก CIA และเข้ารับทำงานกับบริษัทรับจ้างทางการทหารที่มอบหมายให้เขาไปประจำอยู่สำนักงานของ NSA ที่ฐานทัพในญี่ปุ่น ระหว่างนั้นเขาก็คอยดูโอบาม่าดำเนินนโยบายที่เขาคิดว่าน่าจะถูกยุบไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งขึ้น
 
สโนวเดนบอกว่า บทเรียนจากประสบการณ์ในครั้งนั้นคือ "คุณไม่สามารถรอให้คนอื่นกระทำ ผมมองหาผู้นำมาโดยตลอด แต่ผมก็มารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วผู้นำคือคนที่เริ่มต้นทำก่อน"
 
สามปีหลังจากนั้นเขาก็ได้เรียนรู้ปฏิบัติการสอดแนใของ NSA ครอบคลุมมาก สโนวเดนบอกว่า "พวกเขาตั้งใจจะทำให้การสื่อสารทุกคำ พฤติกรรมทุกอย่างในโลกนี้ เป็นที่รับรู้ของพวกเขาได้"
 
สโนวเดนมองว่าอินเตอร์เน็ตเป็นประดิษฐกรรมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เขาเล่าว่าช่วงวัยรุ่นเขาใช้เวลาพูดคุยกับผู้คนจากหลากหลายมุมมอง ในแบบที่เขาไม่สามารถประสบพบเจอได้ด้วยตนเอง แต่ในตอนนี้คุณค่าของอินเตอร์เน็ต รวมถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวขั้นพื้นฐานกำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วจากระบบสอดแนม
 
"ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นฮีโร่" สโนวเดนกล่าว "เพราะสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่องผลประโยชน์สำหรับตัวผมเอง ผมไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีสิทธิความเป็นส่วนตัว ทำให้ไม่มีที่ทางสำหรับสติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์"
 
เมื่อเขารู้แล้วว่าเหลือเวลาอีกไม่นานที่ระบบสอดแนมของ NSA จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขาจึงเริ่มทำการเปิดโปง สโนวเดนบอกว่าสิ่งที่ NSA ทำเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย
 
 
มันเป็นเรื่องของหลักการ
 
แม้สโนวเดนจะมีความเชื่อที่แกร่งกล้า แต่ก็ยังมีคำถามว่าทำไมเขาถึงทำมัน ทำไมเขาถึงยอมสละเสรีภาพและวิถีชีวิตแบบที่มีอภิสิทธิ์ของเขา สโนวเดนบอกว่ามันมีสิ่งที่สำคัญกว่าเรื่องเงิน หากเขามีแรงจูงใจเรื่องเงินแล้วเขาคงขายข้อมูลให้กับประเทศใดๆ ก็ได้ แล้วก็ร่ำรวยไป แต่สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องของหลักการ
 
"รัฐบาลมีอำนาจที่ไม่ควรจะมี ไม่มีการตรวจสอบโดยประชาชน ทำให้เกิดคนแบบผมที่จะต้องล่วงล้ำทำเกินกว่าที่เขาอนุญาตไว้" สโนวเดนกล่าว
 
แนวคิดของสโนวเดนเรื่องเสรีภาพบนโลกอินเตอร์เน็ตปรากฏตามสติกเกอร์ที่เขาติดไว้บนเครื่อง มีสติกเกอร์ตัวหนึ่งอ่านว่า "เราสนับสนุนสิทธิในโลกออนไลน์ : โดย มูลนิธิอิเล็กโทรนิคฟรอนเทียร์" ขณะที่สติกเกอร์อื่นๆ แสดงความชื่นชมองค์กรที่สร้างการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบนิรนามเช่น Tor Project
 
เดอะ การ์เดียน บอกว่าสโนวเดนเป็นคนเปิดเผยตัวอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนักข่าวถามถึงความน่าเชื่อถือของเขา เขาก็แสดงตัวออกมาหมดทั้งบัตรข้าราขการ, หมายเลขไอดีของ CIA, หนังสือเดินทางของนักการทูตที่หมดอายุแล้ว และถ้าหากถามเรื่องส่วนตัว เขาก็จะตอบออกมา
 
เดอะ การ์เดียน กล่าวในบทสัมภาษณ์อีกว่า สโนวเดนมีบุคลิกเรียบง่าย เงียบ ฉลาด และดูมีความสุขเวลาพูดเรื่องเทคนิคคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับการสอดแนม ซึ่งเป็นข้อมูลที่คนในระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจะเข้าใจได้ แต่สโนวเดนก็ยังแสดงท่าทางกระตือรือร้นเวลาพูดถึงคุณค่าของความเป็นส่วนตัว และการที่เขาเสียความรู้สึกจากพฤติกรรมขององค์กรข่าวกรอง
 
สโนวเดนบอกอีกว่าเขาชื่นชมเอสเบิร์กและแมนนิ่งมาก แต่ก็บอกว่าเขามีอย่างหนึ่งที่ต่างจากนายทหารแมนนิ่งผู้ที่กำลังถูกดำเนินคดีในชั้นศาลช่วงเดียวกับที่สโนวเดนปล่อยข้อมูลพอดี ตรงที่เขาเป็นคนเลือกเอกสารให้กับนักข่าวว่าจะเผยแพร่หรือไม่เผยแพร่อะไร
 
"ผมตัดเลือกเอกสารแต่ละชิ้นอย่างระมัดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกชิ้นจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ" สโนวเดนกล่าว "มีเอกสารอีกหลายชิ้นที่อาจจะสร้างแรงสะเทือนอย่างใหญ่หลวงแต่ผมก็ไม่ได้นำมาเผยแพร่ เพราะการทำร้ายคนอื่นไม่ใช่เป้าหมายของผม เป้าหมายของผมคือความโปร่งใส"
 
สำหรับเรื่องอนาคต เขาหวังว่าการรับรู้ของผู้คนในเรื่องเอกสารที่รั่วไหลออกไปจะเป็นการปกป้องตัวเขาเองได้บ้าง เพราะมันทำให้ "พวกนั้น" ทำอะไรสกปรกได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็หวังว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะมีที่ลี้ภัยในไอซ์แลนด์ เนื่องจากเป้นประเทศที่มีชื่อด้านเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต ทว่า เขาก็รู้ว่าความหวังอาจจะไม่เป็นจริง
 

แต่หลังจากเกิดแรงกดดันและข้อถกเถียงทางการเมืองในสัปดาห์แรกหลังจากที่เขานำเสนอเรื่องนี้ สโนวเดนก็บอกว่า "ผมรู้สึกพอใจที่เห้นว่ามันมีค่าที่จะทำ ผมไม่เสียใจที่ทำลงไป"



ข่าวที่นาย Edward Snowden ชาวอเมริกันวัย29 ปี ลูกจ้างชั่วคราวขององค์กรราชการลับอย่าง NSA(NationalSecurity Agency) ที่มีหน้าที่หาข้อมูลจากข่าวสารต่างๆตามหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อนำข้อมูลต่างๆเหล่านี้ส่งเก็บไปที่ฐานข้อมูลให้กับองค์กรอย่าง NSA นั้นก็ปรากฏว่าจู่ๆนาย Edward Snowden ไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือของอังกฤษ theGuardian ว่าองค์กรอย่าง NSA ได้ทำการดับฟัง(eavesdropping)การพูดจาของคนอเมริกันเป็นจำนวนหลายล้านคนรวมถึงการเข้าไปเจาะข้อมูลแบบจารชน(spy)ทางสื่ออินเตอร์เนทของชาติต่างๆทั่วโลก

นาย Edward บอกหนังสือพิมพ์the Guardian ว่า 'คุณจะนึกไม่ถึงหรอกว่าความสามารถของพวกเขา(NSA)มีมากเพียงใดและเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวมาก...' และเขายังกล่าวต่อไปว่า'...ผมไม่ต้องการจะอยู่ในโลกที่ทุกอย่างถูกทำการบันทึกหรือถูกจับตามอง...นี่คือสิ่งที่ผมไม่ต้องการเข้าไปสนับสนุนหรือต้องการใช้ชีวิตแบบนี้...'และท้ายสุดนาย Edward ก็ได้กล่าวว่า 'ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้กลับบ้านเกิดอีกแล้วแม้ว่าผมต้องการจะกลับบ้าน'

ก็แปลกดีครับ ที่คำให้สัมภาษณ์ของนาย EdwardSnowden กับหนังสือพิมพ์ the Guardian เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีของจีนนายสี จิ้งผิงเดินทางไปพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายบารัค โอบามาและบทสนทนาที่สำคัญยิ่งระหว่างผู้นำทั้งสองชาตินี้ก็คือเรื่องการจารกรรมข้อมูลระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาว่าเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกามาก

แต่การให้สัมภาษณ์ของนาย EdwardSnowden ดูคล้ายจะตอกย้ำว่า ตัวสหรัฐอเมริกาเองซึ่งผ่านทางหน่วยงานรัฐอย่างองค์กร NSA ต่างหากที่คอยไปเจาะเก็บข้อมูลของชาติต่างๆ ซึ่งแน่นอนจีนก็ย่อมเป็นชาติที่ต้องโดนองค์กรอย่าง NSA เข้าเจาะข้อมูล(hacking)อย่างต่อเนื่องเพราะพนักงานของทาง NSA อย่างนาย Edward Snowden ก็ได้ออกมายอมรับว่าNSA มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง แม้ว่าเขาไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงว่า NSAเล่นงานเจาะข้อมูลของจีนเพียงชาติเดียว

และที่น่าแปลกใจอีกอย่าง คือนาย Edwardให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวในขณะที่เขาพักอยู่ที่ฮ่องกง(เขาได้เดินทางออกจากโรงแรมที่ฮ่องกงไปแล้วตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน)ซึ่งเป็นเขตภายใต้การปกครองของจีนดังนั้นทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะขอให้ทางจีนส่งตัวเขากลับไปยังสหรัฐอเมริกาทันทีนั้นจีนก็อาจย่อมมีการสงวนท่าทีบ้างแม้ว่าตอนที่ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั้นทางสหราชอาณาจักรสามารถที่จะส่งคนที่ทางรัฐบาลชาติอื่นขอตัวนำกลับประเทศที่ทำเรื่องเรียกร้องมาซึ่งสามารถทำได้

แต่ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือนาย EdwardSnowden ถ้าดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นสายลับให้กับชาติใดไม่เหมือนอย่างในยุคสงครามเย็น ที่ทางสหรัฐอเมริกาและทางสหภาพโซเวียดต่างมีสายลับล้วงข้อมูลระหว่างกัน ถ้าถูกจับได้ว่ามีการทำงานให้กับชาติศัตรูก็จะถูกดำเนินคดี ในอดีตถึงกับทำโทษถึงขั้นประหารชีวิต

สิ่งที่นาย Edward Snowden ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์the Guardian คือองค์กรอย่าง NSA ได้เข้าไปล้วงลูกเจาะข้อมูลของชาติต่างๆผ่านทางอินเตอร์เนทและทำการล้วงลูกเจาะข้อมูลของคนอเมริกันที่มีจำนวนเป็นล้านคือเล่นงานคนชาติเดียวกันอีกด้วย

นายบารัค โอบามาได้พูดกับสื่อว่า สิ่งที่นาย Edward Snowden ออกมาให้สัมภาษณ์นั้นไม่เป็นความจริงเลย รัฐบาลอเมริกันมีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยต่อพลเมืองอเมริกันเท่านั้น

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคำว่าปกป้องพลเมืองอเมริกันนั้น ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้ rated อะไรในการวัดเช่น rated G, rated PG, rated R, rated X, rated XXX เพราะสิ่งที่นายEdward พูดว่าทาง NSA เข้ามาล้วงเจาะข้อมูลคนอเมริกันและคนทั้งโลกเป็นความจริงตามที่เขาให้สัมภาษณ์และนายโอบามาก็ไม่ได้ปฎิเสธแบบได้ใจคนอเมริกันทั้งหมดเพียงแต่บอกว่ารัฐบาอเมริกันต้องการปกป้องความปลอดภัยของคนอเมริกัน

ตอนนี้ทางสื่อก็ได้มีการขุดคุ้ยประวัติของนายEdward Snowden อย่างเต็มที่ ดูเขาเรียนหนังสือไม่จบชั้นมัธยมปลายแต่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ดีมาก และได้ถูกว่าจ้างเป็นเงินค่อนข้างแพงให้ทำงานแบบลูกจ้างชั่วคราวให้กับองค์กรอย่าง NSA ซึ่งก็แปลกดีที่ทางNSA ว่าจ้างพนักงานชั่วคราวอย่างนาย Edward มาทำงานให้กับทาง  NSA

'สหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมและความล้ำเลิศทางเทคโนโลยีในการเจาะหาติดตามข้อมูลของผู้อื่นอย่างน่าสะพรึงกลัวมาก'นาย Edward กล่าว

ตอนนี้นาย Edward Snowden คงต้องคอยหลบหนีการติดตามไล่ล่าของรัฐบาลสหรัฐฯมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปจบหรือลงเอยที่ไหน

'If you live another day. I will be very impressed'

ประโยคดังกล่าวมาจากภาพยนตร์เรื่อง theEnemy of the State(1998) ที่ทางหน่วยงานรัฐทาง NSA พูดกับพวกที่กำลังถูกทางรัฐบาลไล่ล่าอยู่เพราะถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล

ครับคุณ Edward Snowden 'If youlive another day. I will be very impressed'

วันนี้ผมจะขอปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่เล่น facebook ไม่ส่งอีเมล์ แล้วก็จะไม่ chatกับใครเพื่อทำใจให้กับตัวเองครับ


http://www.prachatai.com/journal/2013/06/47155