สัมภาษณ์ เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ผู้เปิดโปงโครงการ PRISM ของสหรัฐฯ
เดอะ การ์เดียน สัมภาษณ์เปิดใจอดีตผู้ช่วย CIA และคนทำงานร่วมกับสภาความมั่ นคงแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) ถึงแรงจูงใจที่เขาเลือกเปิ ดโปงข้อมูลลับสะเทื อนวงการของโครงการสอดแนม และอนาคตที่ยังน่าเป็นห่วงของตั วเขาเองที่ไม่ยอมซ่อนตัวในเงามื ด
เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ได้สัมภาษณ์ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน ชายอายุ 29 ปี ผู้นำข้อมูลของสภาความมั่นคงแห่ งชาติสหรัฐอเมริกา (NSA) เรื่องโครงการลักลอบสอดแนมข้อมู ลมาเผยแพร่ เขามีแรงจูงใจอะไร อนาคตของเขาจะเป็นอย่างไร และทำไมเขาถึงไม่เลือกที่จะซ่ อนตัว
เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน เป็นอดีตเจ้าหน้าที่บริหารด้ านเทคนิคขององค์กรหน่วยข่ าวกรองกลางสหรัฐฯ และปัจจุบันทำงานเป็นพนั กงานของบริษัทการทหาร Booz Allen Hamilton โดนก่อนหน้านี้ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา สโนวเดนได้ทำงานอยู่ในองค์กรเกี ่ยวกับความมั่นคงแห่งชาติ หลายแห่งในฐานะพนักงานของบริษั ทรับจ้างทางการทหารรวมถึงบริษัท Dell ด้วย
โดยหลังจากที่สำนักข่าว เดอะ การ์เดียน ได้สัมภาษณ์ข้อมู ลของสโนวเดนมาหลายวัน ในที่สุดสโนวเดนก็ขอร้องให้เปิ ดเผยตัวเขาในสื่อ โดยสโนวเดนบอกว่าตั้งแต่ช่วงที่ เขาตัดสินใจเปิดเผยข้อมู ลเอกสารลับสู่สาธารณะ เขาก็ไม่คิดที่จะปกปิดชื่อของตั วเอง "ผมไม่มีเจตนาที่จะหลบซ่อนตั วเอง เพราะผมรู้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิ ด" สโนวเดนกล่าว
นอกจากแดเนียล เอลส์เบิร์ก และ แบรดลี่ย์ แมนนิ่ง แล้ว สโนว์เดน กลายเป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ข้อมู ลลับจากภายในคนสำคัญอีกคนหนึ่ งของของสหรัฐฯ จากการที่เขาเผยแพร่ข้อมู ลจากองค์กรที่เก็บงำความลั บมากที่สุดในโลกอย่าง NSA (แดเนียล เอลส์เบิร์ก คือผู้เคยถูกกล่าวหาเรื่องปล่ อยข้อมุลในสงครามเวียดนามปี 1971 และแบรดลี่ย์ แมนนิ่ง เป็นนายทหารของสหรัฐฯ ที่ส่งข้อมูลทางการให้วิกิลีกส์ )
ในข้อความที่สโนวเดนแนบมาด้ วยพร้อมกับข้อมูลชุดแรกเขาเขี ยนว่า "ผมเข้าใจว่าผมจะต้องถูกทำร้ ายจากการกระทำของผมเอง" แต่เขาก็จะรู้สึกพึงพอใจหากได้ เปิดโปงกลุ่มชนชั้นนำผู้มี อำนาจและไม่ถูกลงโทษที่ ปกครองโลกนี้อยู่
แม้ว่าสโนวเดนจะมีความมุ่งมั่ นในการเปิดเผยตัวเอง แต่เขาก็ปฏิเสธอยู่เสมอว่าไม่ อยากตกเป็นเป้าความสนใจของสื่อ "ผมไม่ได้ต้องการเรียกร้ องความสนใจ เพราะผมไม่ได้ต้องการให้มี คนนำเสนอเรื่องของตัวผม ผมต้องการให้พวกเขานำเสนอว่ารั ฐบาลสหรัฐฯ กำลังทำอะไรอยู่"
สโนวเดนบอกว่าเขาไม่กลัวผลที่ ตามมาหลังจากเขาเปิดเผยตัวต่ อสาธารณะ เขาหวังว่ามันจะเป็นการดึ งความสนใจมาที่สิ่งที่เขาต้ องการเปิดเผย "ผมรู้ว่าสื่อชอบทำให้เรื่ องการถกเถียงทางการเมืองกลายเป็ นเรื่องเชิงตัวบุคคล และผมรู้ว่ารัฐบาลจะต้องทำให้ ผมกลายเป็นตัวร้ายแน่ๆ"
"ผมต้องการให้มีการเน้นกล่าวถึ งเรื่องเอกสารและการอภิปรายซึ่ งผมเชื่อว่าจะทำให้พลเมืองทั่ วโลกหันมาสนใจว่า โลกที่เราอยู่มันเป็นอย่างไรกั นแน่" สโนวเดนกล่าว "แรงจูงใจของผมมีอยู่อย่างเดี ยวคือการให้ข้อมูลแก่สาธารณชน ว่ามีเรื่องอะไรที่กระทำโดยอ้ างพวกเขาบ้าง มีเรื่องอะไรที่กระทำแล้วสิ่ งไม่ดีต่อพวกเขาบ้าง"
สโนวเดนเปิดเผยเรื่องส่วนตัวว่า ตัวเขาเองมีชีวิตที่สะดวกสบาย มีเงินเดือนอยู่ที่ราว 200,000 ดอลลาร์ (ราว 6 ล้านบาท) มีแฟนหญิงที่อาศัยร่วมกันที่บ้ านในฮาวาย มีงานการที่มั่นคง มีครอบครัวที่เขารัก "แต่ผมก็พร้อมจะสละทั้งหมดนี้ เพราะว่าจิตสำนึกด้านดีในตั วผมไม่ยอมให้รัฐบาลอเมริกั นทำลายสิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต และเสรีภาพขั้นพื้ นฐานของประชาชนทั่วโลก จากเครื่องมือสอดแนมที่ พวกเขาแอบสร้างขึ้น"
"ผมไม่กลัว เพราะนี่คือทางที่ผมเลือก"
เมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว สโนวเดนได้เตรียมการครั้งสุดท้ ายก่อนที่จะเปิดโปงเรื่ องราวจนเป็นข่าวดัง ที่สำนักงาน NSA ในฮาวายที่เขาทำงานอยู่ เขาได้ทำสำเนาเอกสารชุดสุดท้ ายที่เขาต้องการจะเผยแพร่
จากนั้นเขาก็บอกกับหัวหน้างาน NSA ว่าเขาอยากลาพักสักสองสัปดาห์ เพื่อเข้ารักษาโรคลมชัก ซึ่งเขามีอาการของโรคนี้จริงตั้ งแต่เมื่อปีที่แล้ว
เขาเก็บกระเป๋า บอกแฟนสาวว่าเขาจะไปที่อื่ นสองสัปดาห์ แม้เขาจะรู้สึกว่าตัวเขาเองก็ ไม่ค่อยแน่ใจในเหตุผล "เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ เกิดกับใครก็ตามที่ทำงานอยู่ ในหน่วยข่าวกรองมานานเป้นสิบปี"
ในวันที่ 20 พ.ค. สโนวเดนขั้นเครื่องบินไปฮ่ องกงและอาศัยอยู่ที่นั่น เขาบอกว่าที่เขาเลือกฮ่ องกงเพราะชาวฮ่องกงมีจิตสำนึ กในเรื่องเสรีภาพการแสดงความเห็ นและเรื่องสิทธิของนักต่อต้ านทางการเมือง และเพราะเขาเชื่อว่ามันเป็นไม่ กี่แห่งในโลกที่จะสามารถต้ านทานการควบคุมของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้
ตลอดสามสัปดาห์ สโนวเดนขลุกตัวอยู่แต่ในห้องพั กของโรงแรม สั่งอาหารมาทานในห้อง เขาบอกว่าเขาออกจากห้องเพียงแค่ สามครั้ง เขารู้สึกกังวลว่าจะถูกแอบตามตั ว เขานำหมอนหลายใบมาวางไว้หน้าห้ องเพื่อป้องกันไม่ให้มี ใครมาแอบดักฟัง เขาเอาเสื้อคลุมสีแดงคลุมเหนื อหัวและคอมพิวเตอร์เวลาใส่รหั สเผื่อว่าจะมีกล้องที่ซ่อนอยู่ คอยจับตาดู
เดอะ การ์เดียนบอกว่า แม้เรื่องดังกล่าวจะฟังดูเหมื อนคนเป็นโรคหวาดระแวง แต่สโนวเดนก็มีเหตุผลที่จะกลั วเรื่องพวกนี้ จากการที่เขาทำงานในหน่วยข่ าวกรองของสหรัฐฯ มาเกือบสิบปี ทำให้เขารู้ว่าองค์กรสอดแนมที่ ใหญ่ที่สุดคือสหรัฐฯ NSA และรัฐบาลที่มีอำนาจมากที่สุ ดในโลกกำลังตามตัวเขา
หลังจากที่ข้อมูลถูกเผยแพร่ ออกมาแล้ว เอ็ดเวิร์ด สโนวเดน ก็คอยดูโทรทัศน์และอินเตอร์เน็ต ได้รับรู้เรื่องคำขู่และคำสั ญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะหาตัวคนที่เปิดโปงเรื่องนี ้มาลงโทษ และสโนวเดนก็รู้ดีว่าสหรัฐฯ มีเทคโนโลยีซับซ้อนที่ทำให้ การตามตัวเขาเป็นเรื่องง่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก NSA และเจ้าหน้าที่รายอื่นๆ ไปหาเขาที่บ้านพักสองครั้ง และติดต่อกับแฟนสาวของเขาได้แล้ ว แต่เขาเชื่อว่าน่าจะมาจากการที่ เขาขาดงานมากกว่าการที่เขาต้ องสงสัยเรื่องเอกสารที่รั่วไหล
"ทางเลือกไหนก็แย่หมด" สโนวเดนกล่าวถึ งสภาพของเขาในตอนนี้ ทางการสหรัฐฯ อาจเริ่มกระบวนการส่งตัวผู้ร้ ายข้ามแดน ซึ่งอาจมีความยุ่งยาก ความยื้ดเยื้อ และอะไรที่คาดเดาไม่ได้จากรั ฐบาลสหรัฐฯ หรือทางรัฐบาลจีนก็อาจจะนำตั วเขาไปสอบสวน มองว่าเขาเป็นผู้มีข้อมูลสำคัญ หรือเขาอาจจะแค่ถูกลักพาตั วโยนขึ้นเครื่องบินกลับไปยั งสหรัฐฯ
"ใช่ ผมอาจจะถูกจับโดยซีไอเอ อาจจะมีคนตามล่าตัวผม หรือเป็นกลุ่มบุคคลที่สาม พวกเขาทำงานใกล้ชิดกับประเทศอื่ นๆ จำนวนหนึ่ง หรืออาจจะจ้างมาเฟียจีน ไม่ก็หน่วยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง" สโนวเดนกล่าว
"มีสำนักงาน CIA อยู่ไม่ไกลจากนี้ เป็นสถานกงสุลในฮ่องกง และผมแน่ใจว่าวพกเขาจะยุ่งมากๆ ในสัปดาห์ถัดไป และนั่นเป็นเรื่องชวนกังวลสำหรั บผมไปตลอดชีวิต มันจะยาวนานขนาดไหน"
จากที่เห็นรัฐบาลของโอบาม่าสั่ งดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่ แฉความลับภายในระดับที่มากว่าที ่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ เขาคิดว่ารัฐบาลสหรัฐฯ คงพยายามอย่างสุ ดแรงในการลงโทษเขา แต่เขาก็พูดนิ่งๆ ว่าเขาไม่กลัว เพราะนี่เป็นทางที่เขาเลือก เขาเดาไว้แล้วว่ารัฐบาลจะดำเนิ นการสืบสวน ตัวเขาอาจจะถูกดำเนินคดี จากกฏหมายจารกรรมและในข้อหาช่ วยเหลือศัตรู ซึ่งถูกนำมาใช้กับใครก็ตามที่ เปิดโปงครามจริง
เดอะ การ์เดียน กล่าวว่ามีอยู่ช่วงเดียวที่ เขาแสดงอารมณ์ในการสัมภาษณ์ หลายชั่วโมง คือช่วงที่เขาคิดคำนึงถึ งผลกระทบต่อครอบครัวจากสิ่งที่ เขาเลือก ซึ่งคนในครอบครั วเขาหลายคนทำงานให้กับรั ฐบาลสหรัฐฯ "สิ่งเดียวที่ผมกลัวคือผลร้ายที่จะเกิดแก่ครอบครัวผม ซึ่งผมช่วยเหลืออะไรไม่ได้อี กแล้ว เรื่องนี้ทำให้ผมนอนไม่หลั บตอนกลางคืน" สโนวเดนพูดเรื่องนี้ทั้งน้ำตา
"คุณไม่สามารถรอให้คนอื่นเป็ นคนทำ"
ก่อนหน้านี้สโนวเดนไม่คิดว่ารั ฐบาลสหรัฐฯ จะทำอะไรขัดกับแนวคิดทางการเมื องของเขา สโนวเดนเติบโตมาในอลิซาเบธซิตี้ นอร์ทแคโรไลนา ต่อมาครอบครัวเขาก็ย้ายไปที่ แมรี่แลนด์ ใกล้กับสถานบัญชาการของ NSA ในฟอร์ดมี้ดสโนวเดนไม่ใช่คนเรี ยนเก่ง เขาเรียนไม่จบระดับไฮสคูล (แต่ต่อมาสอบเทียบได้)
จนถึงในปี 2003 เขาก็เข้าเป็นทหารในกองทัพสหรั ฐฯ และเริ่มฝึกเพื่อเข้าร่วมกับหน่ วยรบพิเศษ ในตอนนั้นเขามีหลักการในตั วเองแบบเดียวกันกับตอนที่เขาเปิ ดโปงข้อมูลของรัฐบาล เขาบอกว่า "ผมต้องการร่วมรบในสงครามอิรั กเพราะผมรู้สึกว่า ผมมีพันธกิจในฐานะมนุษย์คนหนึ่ งที่จะต้องปลดปล่อยผู้ คนออกจากการกดขี่"
แต่หลายครั้งที่แนวคิดอุดมคติ ของเขาถูกลบเลือนไปในช่วงฝึก เขาบอกว่าผู้ฝึกของเขาส่วนมากมั กจะพูดย้ำเรื่องการสั งหารคนอาหรับ ไม่ได้พูดถึงการช่วยเหลือผู้คน และหลังจากสโนวเดนขาหักขากการฝึ กซ้อม เขาก็ถูกไล่ออก
หลังจากนั้นสโนวเดนก็เข้ าไปทำงานในสำนักงาน NSA เป็นยามรักษาความปลอดภัยให้กั บสำนักงานลับแห่ง
หนึ่งในมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ จากนั้นเขาก็ไปทำงานให้ CIA เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภั ยด้านไอที ความเข้าใจเรื่องอินเตอร์เน็ ตและความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาได้เลื่อนขั้นเร้ วมากสำหรับคนที่ไม่มีอนุปริ ญญามัธยมศึกษา
ในปี 2007 CIA ให้เขาไปประจำการกับนักการทู ตสายลับในกรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หน้าที่ของเขาคือควบคุมดู แลระบบเครือข่ายความปลอดภั ยของคอมพิวเตอร์ ทำให้เขาสามารถเข้าถึงเอกสารลั บได้หลายฉบับ ความสามารถเข้าถึงในตอนนั้ นรวมถึงการใช้เวลาอยู่กับเจ้ าหน้าที่ CIA ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ทำให้เขาเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกั บความถูกต้องจากสิ่งที่เขาได้รั บรู้
สโนวเดนเล่าถึงวิธีการทำงานของ CIA ในตอนที่พวกเขาพยายามล้วงตีซี้ คนทำงานธนาคารสวิสเพื่อล้วงข้ อมูลด้านการธนาคาร เขาบอกว่า CIA ใช้วิธีการจงใจทำให้ คนทำงานธนาคารเมา และยุให้เขาขับรถกลับบ้านเอง แต่เมื่อคนทำงานธนาคารถูกจับข้ อหาขับรถขณะมึนเมา สายลับที่ผูกมิตรด้วยก็เสนอว่ าจะช่วยเหลือเขาทำให้ตีซี้กั บนายธนาคารสำเร็จ
"สิ่งที่ผมเห็นในเจนีวาหลายเรื่ องทำให้ผมตาสว่าง ทำให้ผมมองเห็นว่ารั ฐบาลเราทำงานกันยังไง และส่งผลกระทบอะไรกับโลกบ้าง" สโนวเดนกล่าว "ผมรู้ตัวว่า ผมเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เป็ นอันตรายมากกว่าจะเป็นประโยชน์"
สโนวเดนบอกว่าในช่วงที่ทำงานกับ CIA ในกรุงเจนีวานั้นเองเป็นครั้ งแรกที่เขาคิดจะเปิดโปงความลั บของรัฐบาล แต่เขายังเลือกจะไม่ทำในตอนนั้ นด้วยเหตุผลสองประการ
เหตุผลประการแรกคือ ความลับของ CIA เป็นเรื่องเกี่ยวกับประชาชน ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับเครื่องมื อหรือระบบ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกไม่สบายใจนั กถ้าหากจะเปิดเผยออกมา ซึ่งเขาคิดว่ามันจะทำให้คนอื่ นเป็นอันตราย เหตุผลที่สองคือ การเลือกตั้งที่โอบาม่าได้รับชั ยชนะในปี 2008 ทำให้เขามีความหวังว่าจะมี การปฏิรูปจริงจัง ทำให้ไม่จำเป็นต้องเปิดโปง
ในปี 2009 สโนวเดนก็ออกจาก CIA และเข้ารับทำงานกับบริษัทรับจ้ างทางการทหารที่มอบหมายให้ เขาไปประจำอยู่สำนักงานของ NSA ที่ฐานทัพในญี่ปุ่น ระหว่างนั้นเขาก็คอยดูโอบาม่ าดำเนินนโยบายที่เขาคิดว่าน่ าจะถูกยุบไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกเข้มแข็งขึ้น
สโนวเดนบอกว่า บทเรียนจากประสบการณ์ในครั้งนั้ นคือ "คุณไม่สามารถรอให้คนอื่นกระทำ ผมมองหาผู้นำมาโดยตลอด แต่ผมก็มารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วผู้นำคือคนที่เริ่มต้นทำก่ อน"
สามปีหลังจากนั้นเขาก็ได้เรี ยนรู้ปฏิบัติการสอดแนใของ NSA ครอบคลุมมาก สโนวเดนบอกว่า "พวกเขาตั้งใจจะทำให้การสื่ อสารทุกคำ พฤติกรรมทุกอย่างในโลกนี้ เป็นที่รับรู้ของพวกเขาได้"
สโนวเดนมองว่าอินเตอร์เน็ตเป็ นประดิษฐกรรมที่สำคัญที่สุ ดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เขาเล่าว่าช่วงวัยรุ่นเขาใช้ เวลาพูดคุยกับผู้ คนจากหลากหลายมุมมอง ในแบบที่เขาไม่ สามารถประสบพบเจอได้ด้วยตนเอง แต่ในตอนนี้คุณค่าของอินเตอร์ เน็ต รวมถึงสิทธิความเป็นส่วนตัวขั้ นพื้นฐานกำลังถูกทำลายลงอย่ างรวดเร็วจากระบบสอดแนม
"ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นฮีโร่ " สโนวเดนกล่าว "เพราะสิ่งที่ผมทำเป็นเรื่ องผลประโยชน์สำหรับตัวผมเอง ผมไม่อยากอยู่ในโลกที่ไม่มีสิ ทธิความเป็นส่วนตัว ทำให้ไม่มีที่ทางสำหรับสติปั ญญาและความคิดสร้างสรรค์"
เมื่อเขารู้แล้วว่าเหลือเวลาอี กไม่นานที่ระบบสอดแนมของ NSA จะกลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี ่ยงได้ เขาจึงเริ่มทำการเปิดโปง สโนวเดนบอกว่าสิ่งที่ NSA ทำเป็นภัยต่อระบอบประชาธิปไตย
มันเป็นเรื่องของหลักการ
แม้สโนวเดนจะมีความเชื่อที่แกร่ งกล้า แต่ก็ยังมีคำถามว่าทำไมเขาถึ งทำมัน ทำไมเขาถึงยอมสละเสรีภาพและวิถี ชีวิตแบบที่มีอภิสิทธิ์ของเขา สโนวเดนบอกว่ามันมีสิ่งที่สำคั ญกว่าเรื่องเงิน หากเขามีแรงจูงใจเรื่องเงินแล้ วเขาคงขายข้อมูลให้กับประเทศใดๆ ก็ได้ แล้วก็ร่ำรวยไป แต่สำหรับเขาแล้ว มันเป็นเรื่องของหลักการ
"รัฐบาลมีอำนาจที่ไม่ควรจะมี ไม่มีการตรวจสอบโดยประชาชน ทำให้เกิดคนแบบผมที่จะต้องล่ วงล้ำทำเกินกว่าที่เขาอนุญาตไว้ " สโนวเดนกล่าว
แนวคิดของสโนวเดนเรื่องเสรี ภาพบนโลกอินเตอร์เน็ ตปรากฏตามสติกเกอร์ที่เขาติดไว้ บนเครื่อง มีสติกเกอร์ตัวหนึ่งอ่านว่า "เราสนับสนุนสิทธิในโลกออนไลน์ : โดย มูลนิธิอิเล็กโทรนิคฟรอนเทียร์" ขณะที่สติกเกอร์อื่นๆ แสดงความชื่นชมองค์กรที่สร้ างการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ ตแบบนิรนามเช่น Tor Project
เดอะ การ์เดียน บอกว่าสโนวเดนเป็นคนเปิดเผยตั วอย่างตรงไปตรงมา เมื่อนักข่าวถามถึงความน่าเชื่ อถือของเขา เขาก็แสดงตัวออกมาหมดทั้งบัตรข้ าราขการ, หมายเลขไอดีของ CIA, หนังสือเดินทางของนักการทูตที่ หมดอายุแล้ว และถ้าหากถามเรื่องส่วนตัว เขาก็จะตอบออกมา
เดอะ การ์เดียน กล่าวในบทสัมภาษณ์อีกว่า สโนวเดนมีบุคลิกเรียบง่าย เงียบ ฉลาด และดูมีความสุขเวลาพูดเรื่ องเทคนิคคอมพิวเตอร์เกี่ยวกั บการสอดแนม ซึ่งเป็นข้อมูลที่คนในระดับผู้ เชี่ยวชาญเท่านั้นจะเข้าใจได้ แต่สโนวเดนก็ยังแสดงท่าทางกระตื อรือร้นเวลาพูดถึงคุณค่ าของความเป็นส่วนตัว และการที่เขาเสียความรู้สึ กจากพฤติกรรมขององค์กรข่าวกรอง
สโนวเดนบอกอีกว่าเขาชื่ นชมเอสเบิร์กและแมนนิ่งมาก แต่ก็บอกว่าเขามีอย่างหนึ่งที่ ต่างจากนายทหารแมนนิ่งผู้ที่ กำลังถูกดำเนินคดีในชั้นศาลช่ วงเดียวกับที่สโนวเดนปล่อยข้อมู ลพอดี ตรงที่เขาเป็นคนเลือกเอกสารให้ กับนักข่าวว่าจะเผยแพร่หรือไม่ เผยแพร่อะไร
"ผมตัดเลือกเอกสารแต่ละชิ้นอย่ างระมัดระวัง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกชิ้นจะเป็ นประโยชน์ต่อสาธารณะ" สโนวเดนกล่าว "มีเอกสารอีกหลายชิ้นที่ อาจจะสร้างแรงสะเทือนอย่างใหญ่ หลวงแต่ผมก็ไม่ได้นำมาเผยแพร่ เพราะการทำร้ายคนอื่นไม่ใช่เป้ าหมายของผม เป้าหมายของผมคือความโปร่งใส"
สำหรับเรื่องอนาคต เขาหวังว่าการรับรู้ของผู้ คนในเรื่องเอกสารที่รั่ วไหลออกไปจะเป็นการปกป้องตั วเขาเองได้บ้าง เพราะมันทำให้ "พวกนั้น" ทำอะไรสกปรกได้ยากขึ้น ขณะเดียวกันเขาก็หวังว่าจะมี ความเป็นไปได้ที่เขาจะมีที่ลี้ ภัยในไอซ์แลนด์ เนื่องจากเป้นประเทศที่มีชื่อด้ านเสรีภาพบนอินเตอร์เน็ต ทว่า เขาก็รู้ว่าความหวังอาจจะไม่เป็ นจริง
แต่หลังจากเกิดแรงกดดันและข้ อถกเถียงทางการเมืองในสัปดาห์ แรกหลังจากที่เขานำเสนอเรื่องนี้ สโนวเดนก็บอกว่า "ผมรู้สึกพอใจที่เห้นว่ามันมีค่ าที่จะทำ ผมไม่เสียใจที่ทำลงไป"
ข่าวที่นาย Edward Snowden ชาวอเมริกันวัย29 ปี ลูกจ้างชั่วคราวขององค์กรราชการลับอย่าง NSA(NationalSecurity Agency) ที่มีหน้าที่หาข้อมูลจากข่าวสารต่างๆตามหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อนำข้อมูลต่างๆเหล่านี้ส่งเก็บไปที่ฐานข้อมูลให้กับองค์กรอย่าง NSA นั้นก็ปรากฏว่าจู่ๆนาย Edward Snowden ไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือของอังกฤษ theGuardian ว่าองค์กรอย่าง NSA ได้ทำการดับฟัง(eavesdropping)การพูดจาของคนอเมริกันเป็นจำนวนหลายล้านคนรวมถึงการเข้าไปเจาะข้อมูลแบบจารชน(spy)ทางสื่ออินเตอร์เนทของชาติต่างๆทั่วโลก
นาย Edward บอกหนังสือพิมพ์the Guardian ว่า 'คุณจะนึกไม่ถึงหรอกว่าความสามารถของพวกเขา(NSA)มีมากเพียงใดและเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวมาก...' และเขายังกล่าวต่อไปว่า'...ผมไม่ต้องการจะอยู่ในโลกที่ทุกอย่างถูกทำการบันทึกหรือถูกจับตามอง...นี่คือสิ่งที่ผมไม่ต้องการเข้าไปสนับสนุนหรือต้องการใช้ชีวิตแบบนี้...'และท้ายสุดนาย Edward ก็ได้กล่าวว่า 'ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะได้กลับบ้านเกิดอีกแล้วแม้ว่าผมต้องการจะกลับบ้าน'
ก็แปลกดีครับ ที่คำให้สัมภาษณ์ของนาย EdwardSnowden กับหนังสือพิมพ์ the Guardian เกิดขึ้นในช่วงที่ประธานาธิบดีของจีนนายสี จิ้งผิงเดินทางไปพบประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกานายบารัค โอบามาและบทสนทนาที่สำคัญยิ่งระหว่างผู้นำทั้งสองชาตินี้ก็คือเรื่องการจารกรรมข้อมูลระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาว่าเป็นสิ่งที่สร้างความกังวลให้กับทั้งจีนและสหรัฐอเมริกามาก
แต่การให้สัมภาษณ์ของนาย EdwardSnowden ดูคล้ายจะตอกย้ำว่า ตัวสหรัฐอเมริกาเองซึ่งผ่านทางหน่วยงานรัฐอย่างองค์กร NSA ต่างหากที่คอยไปเจาะเก็บข้อมูลของชาติต่างๆ ซึ่งแน่นอนจีนก็ย่อมเป็นชาติที่ต้องโดนองค์กรอย่าง NSA เข้าเจาะข้อมูล(hacking)อย่างต่อเนื่องเพราะพนักงานของทาง NSA อย่างนาย Edward Snowden ก็ได้ออกมายอมรับว่าNSA มีพฤติกรรมดังกล่าวจริง แม้ว่าเขาไม่ได้พูดเฉพาะเจาะจงว่า NSAเล่นงานเจาะข้อมูลของจีนเพียงชาติเดียว
และที่น่าแปลกใจอีกอย่าง คือนาย Edwardให้สัมภาษณ์เรื่องดังกล่าวในขณะที่เขาพักอยู่ที่ฮ่องกง(เขาได้เดินทางออกจากโรงแรมที่ฮ่องกงไปแล้วตอนนี้ไม่รู้อยู่ไหน)ซึ่งเป็นเขตภายใต้การปกครองของจีนดังนั้นทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะขอให้ทางจีนส่งตัวเขากลับไปยังสหรัฐอเมริกาทันทีนั้นจีนก็อาจย่อมมีการสงวนท่าทีบ้างแม้ว่าตอนที่ฮ่องกงอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรนั้นทางสหราชอาณาจักรสามารถที่จะส่งคนที่ทางรัฐบาลชาติอื่นขอตัวนำกลับประเทศที่ทำเรื่องเรียกร้องมาซึ่งสามารถทำได้
แต่ที่น่าสนใจอีกอย่าง คือนาย EdwardSnowden ถ้าดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เป็นสายลับให้กับชาติใดไม่เหมือนอย่างในยุคสงครามเย็น ที่ทางสหรัฐอเมริกาและทางสหภาพโซเวียดต่างมีสายลับล้วงข้อมูลระหว่างกัน ถ้าถูกจับได้ว่ามีการทำงานให้กับชาติศัตรูก็จะถูกดำเนินคดี ในอดีตถึงกับทำโทษถึงขั้นประหารชีวิต
สิ่งที่นาย Edward Snowden ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์the Guardian คือองค์กรอย่าง NSA ได้เข้าไปล้วงลูกเจาะข้อมูลของชาติต่างๆผ่านทางอินเตอร์เนทและทำการล้วงลูกเจาะข้อมูลของคนอเมริกันที่มีจำนวนเป็นล้านคือเล่นงานคนชาติเดียวกันอีกด้วย
นายบารัค โอบามาได้พูดกับสื่อว่า สิ่งที่นาย Edward Snowden ออกมาให้สัมภาษณ์นั้นไม่เป็นความจริงเลย รัฐบาลอเมริกันมีหน้าที่ปกป้องความปลอดภัยต่อพลเมืองอเมริกันเท่านั้น
ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคำว่าปกป้องพลเมืองอเมริกันนั้น ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ใช้ rated อะไรในการวัดเช่น rated G, rated PG, rated R, rated X, rated XXX เพราะสิ่งที่นายEdward พูดว่าทาง NSA เข้ามาล้วงเจาะข้อมูลคนอเมริกันและคนทั้งโลกเป็นความจริงตามที่เขาให้สัมภาษณ์และนายโอบามาก็ไม่ได้ปฎิเสธแบบได้ใจคนอเมริกันทั้งหมดเพียงแต่บอกว่ารัฐบาอเมริกันต้องการปกป้องความปลอดภัยของคนอเมริกัน
ตอนนี้ทางสื่อก็ได้มีการขุดคุ้ยประวัติของนายEdward Snowden อย่างเต็มที่ ดูเขาเรียนหนังสือไม่จบชั้นมัธยมปลายแต่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ดีมาก และได้ถูกว่าจ้างเป็นเงินค่อนข้างแพงให้ทำงานแบบลูกจ้างชั่วคราวให้กับองค์กรอย่าง NSA ซึ่งก็แปลกดีที่ทางNSA ว่าจ้างพนักงานชั่วคราวอย่างนาย Edward มาทำงานให้กับทาง NSA
'สหรัฐอเมริกา ใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมและความล้ำเลิศทางเทคโนโลยีในการเจาะหาติดตามข้อมูลของผู้อื่นอย่างน่าสะพรึงกลัวมาก'นาย Edward กล่าว
ตอนนี้นาย Edward Snowden คงต้องคอยหลบหนีการติดตามไล่ล่าของรัฐบาลสหรัฐฯมหาอำนาจเบอร์หนึ่งของโลก ก็ไม่รู้ว่าเขาจะไปจบหรือลงเอยที่ไหน
'If you live another day. I will be very impressed'
ประโยคดังกล่าวมาจากภาพยนตร์เรื่อง theEnemy of the State(1998) ที่ทางหน่วยงานรัฐทาง NSA พูดกับพวกที่กำลังถูกทางรัฐบาลไล่ล่าอยู่เพราะถูกมองว่าเป็นศัตรูของรัฐบาล
ครับคุณ Edward Snowden 'If youlive another day. I will be very impressed'
วันนี้ผมจะขอปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่เล่น facebook ไม่ส่งอีเมล์ แล้วก็จะไม่ chatกับใครเพื่อทำใจให้กับตัวเองครับ
http://www.prachatai.com/journal/2013/06/47155
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น